หมายเหตุ: จากเอกสารอ้างอิงข้อที่ 8 และ 19
หมายเหตุ: จากเอกสารอ้างอิงข้อที่ 4
ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์การแพทย์มีข้อมูลเกี่ยวกับกลไกการทำงานของดวงตาและการมองเห็นมากขึ้น จนกระทั่งสามารถใช้สารอาหารหลายชนิดเพิ่มประสิทธิภาพและปกป้องการทำงานของดวงตา และทราบว่าสารต้านออกซิเดชั่นในอาหารช่วยปกป้องเลนส์ตาจากการถูกทำลายของอนุมูลอิสระ เข้าใจบทบาทของสารแคโรทีนอยด์บางกลุ่มที่มีต่อกลไกลการทำงานของจอประสาทตาและจุดรับภาพ การใช้สารอาหารโดยเฉพาะอย่างยิ่งไฟโตนิวเทรียนท์เพื่อปกป้องและเสริมประสิทธิภาพการทำงานของดวงตาจึงได้รับความสนใจมากขึ้น(6,8)
บิลเบอร์รี ประกอบด้วยไฟโตนิวเทรียนท์จำนวนมาก แต่สารสำคัญที่มีประโยชน์คือ กลุ่มแอนโธไซยาโนไซด์ (Anthocyanosides) พบได้ในพืชที่มีสีแดง ม่วง จนถึงน้ำเงิน แอนโธไซยาโนไซด์มีสูตรโครงสร้างและการทำงานคล้ายสารกลุ่มไบโอฟลาโวนอยด์ (Bioflavonoids) จึงให้ฤทธิ์ต้านออกซิเดชั่นและฤทธิ์ทางด้านอื่น(1,5,9,13,14)
สารอื่นๆ ที่พบในบิลเบอร์รี เช่น แทนนิน (Tannins), ฟลาโวนอล ไกลโคไซด์ (เควอซิทิน, ไอโซเควิซิทิน) Flavonol Glycosides (Quercitrin, Isoquercitrin), ไฮดรอกซีซินนามิก (Hydroxycinnamic), อนุพันธ์ของกรดไฮดรอกซีเบนโซอิก (Hydroxybenzoic Acid Derivatives), แคททิชิน (โมโมเมอริก ฟลาแวน-3-Ols) Catechins (Monomeric Flavan-3-Ols), โปรไซยาดินิน (Procyanidins) เป็นต้น
สารสกัดจากดอกดาวเรือง ให้สารสำคัญที่มีชื่อว่า ลูทีน (Lutein) พบได้ในพืชที่มีสีเหลืองถึงแดง ลูทีนเป็นไฟโตนิวเทรียนท์ที่จัดอยู่ในกลุ่มแคโรทีนอยด์ กลุ่มเดียวกับเบต้าแคโรทีน แต่ทำหน้าที่ต่างจากเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นสารก่อกำเนิดวิตามินเอ โดยลูทีนไม่ได้ทำหน้าที่สร้างวิตามินเอ ลูทีนมักพบร่วมกับซีแซนทีน (Zeaxanthin) ซึ่งเป็นไอโซเมอร์ของลูทีน การวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการปัจจุบันไม่สามารถแยกลูทีนจากซีแซนทีนได้ จึงนิยมเรียกลูทีนและซีแซนทีนรวมๆ กัน โดยเรียกย่อว่า L/Z(15,19)
L/Z พบมากในบริเวณจุดรับภาพ (Macula) บริเวณจอประสาทตา ทำให้มีสีเหลืองบริเวณจุดรับภาพ และที่จุดศูนย์กลางของบริเวณจุดรับภาพที่เรียกว่า โฟเวีย (Fovea) ประกอบด้วยตัวรับแสง (Photoreceptors) จำนวนมาก จึงตั้งสมมติฐานว่า L/Z ทำหน้าที่ช่วยให้มองภาพได้คมชัดและเห็นรายละเอียดของภาพดีขึ้น
L/Z ยังพบได้ในเลนส์ตา (Lens) ฤทธิ์ต้านออกซิเดชั่นของ L/Z มีบทบาทในการป้องกันปัญหาจากแสงยูวีในแสงแดด ชะลอการเกิดต้อกระจกซึ่งเป็นภาวะเลนส์ตาขุ่นมัวอันเนื่องจากความเสื่อมของเลนส์ตา
L/Z มีสีเหลืองจึงทำหน้าที่ปกป้องดวงตาโดยการดูดซึมแสงสีน้ำเงินและแสงสีเหนือม่วงหรืออัลตร้าไวโอเล็ตจากรังสีดวงอาทิตย์ที่เป็นอันตรายต่อดวงตามนุษย์ มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ทำหน้าที่ในการปกป้องอนุมูลอิสระอันเกิดเนื่องจากรังสียูวีจากแสงแดด การสูบบุหรี่ มลภาวะเป็นพิษ และความเครียด เป็นต้น ที่อาจทำลายจอประสาทตาได้
แบล็คเคอร์เรนต์ อุดมด้วยไฟโตนิวเทรียนท์หลายชนิด โดยหลายตัวในกลุ่มนี้มีคุณสมบัติของสารต้านอนุมูลอิสระ สารสำคัญที่พบ ได้แก่ วิตามินซี แอนโธไซยานิน (Anthocyanins) แอนโธไซยาโนไซด์ (Anthocyanosides) โปรแอนโธไซยานิดิน (Proanthocyanidins) ซึ่งช่วยการทำงานของสารแคโรทีนอยด์ในการปกป้องการทำงานของดวงตา โดยมีรายงานว่าสารแอนโธไซยาโนไซด์ในแบล็คเคอร์เรนต์ช่วยป้องกันปัญหาตาบอดในเวลากลางคืนได้ดี ทั้งยังพบสารฟลาโวนอยด์หลายชนิดที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพการไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดฝอยของดวงตา(7) นอกจากนี้ยังมีสารกลุ่มโพลีแซคคาไรด์ เช่น แคสซิส โพลีแซคคาไรด์ หรือ CAPS (Cassis Polysaccharide) สารกลุ่มนี้มีรายงานว่าช่วยป้องกันปัญหาบางอย่างของดวงตาได้ เช่น รายงานของ Dejima และคณะตีพิมพ์ในวารสาร Biosci Biotechnol Biochem ปี 2007 พบว่าผู้ที่มีปัญหา Japanese Cedar Pollinosis อันเกิดจากการแพ้เกสรของต้นสนญี่ปุ่น มีอาการคันที่ดวงตาและน้ำตาไหลบ่อย เมื่อเสริมสารสกัดแบล็คเคอร์เรนต์พบว่าสามารถช่วยลดอาการดังกล่าวได้(7)
ผักโขม (Spinach) หรือผักปวยเล้ง (Chinese Spinach) เป็นผักใบเขียวเข้ม มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Spinacia oleracea L. อุดมด้วยไฟโตนิวเทรียนท์หลายชนิด เช่น โคลีน (Choline) อิโนซิทอล (Inositol) ฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) และแคโรทีนอยด์ (Carotenoid) หลายกลุ่ม เช่น ลูทีน เป็นแหล่งสำคัญของวิตามินเอ และวิตามินซี ให้คุณค่าต่อประสิทธิภาพของดวงตา หลายประการโดยพบว่าสารต้านอนุมูลอิสระที่พบใน ผักโขมช่วยป้องกันปัญหาอนุมูลอิสระที่ก่อปัญหาใน ดวงตา การศึกษาของ Kopsell และคณะ ตีพิมพ์ใน วารสาร J Agric Food Chem ปี 2006 พบว่าเมื่ออาสาสมัครจำนวน 10 คนบริโภคสารสกัดจากผักโขม 50 กรัม นาน 12 สัปดาห์ ระดับลูทีนในเลือดเพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อดวงตา(10)
การใช้ตับปลาทะเลซึ่งอุดมด้วยวิตามินเอ เพื่อรักษาและป้องกันอาการตาบอดในเวลากลางคืนเริ่มมาตั้งแต่ยุคโบราณแล้ว วิตามินเอให้ผลสัมฤทธิ์ในการรักษารวดเร็วแสดงให้เห็นว่าวิตามินเอเกี่ยวข้องกับการทำหน้าที่ของดวงตาโดยตรง จึงไม่แปลกใจที่ชื่อสามัญของวิตามินเอคือเรตินอลนั้น แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของวิตามินเอต่อเรตินาของดวงตา โดยพบว่าวิตามินเอเกือบทั้งหมดในร่างกายสะสมบริเวณเรตินาและเนื้อเยื่อภายในดวงตา โดยวงจรของวิตามินเอภายในเนื้อเยื่อของดวงตามีความสำคัญต่อการมองเห็นและการคงรูปของดวงตาค่อนข้างมาก การขาดวิตามินเอจึงส่งผลเสียต่อการทำหน้าที่ของดวงตาอย่างรุนแรง(11,18,20) รายงานการศึกษาของ Maeda และคณะ ตีพิมพ์ในวารสาร Nippon Ganka Gakkai Zasshi ปี 2009 พบว่า ความผิดปกติในการทำหน้าที่ของดวงตา อันเป็นผลมาจากวงจรวิตามินเอที่เป็นปัญหาสามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้วิตามินเอ(11)
อาหาร | สารออกฤทธิ์ | ผลต่อดวงตา* |
---|---|---|
ผลบิลเบอร์รี | แอนโธไซยาไนด์ | • เพิ่มสมรรถภาพการมองเห็นในที่มืด • ลดระยะเวลาในการปรับแสงจากสว่างไปสู่ที่มืด • ช่วยการมองเห็นภาพคมชัดขึ้น • เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเอนไซม์ภายในจอประสาทตา • ปกป้องโครงสร้างของผนังหลอดเลือดฝอย • แสดงฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันต้อกระจก |
สารสกัดจากดอกดาวเรือง | ลูทีน/ซีแซนทีน | • ดูดกลืนแสงสีน้ำเงินและแสดงอัลตร้าไวโอเล็ต จากรังสีดวงอาทิตย์ที่เป็นอันตรายต่อดวงตามนุษย์ • มีคุณสมบัติเป็นสารต้านออกซิเดชั่น ช่วยปกป้องดวงตาจากอนุมูลอิสระที่เกิดจากรังสียูวี มลภาวะความเครียด ที่อาจทำลายจอประสาทตา |
ผลแบล็คเคอร์เรนต์ | วิตามินซี, แอนโธไซยานิน, แอนโธไซยาโนไซด์, โปรแอนโธไซยานิดิน | • ช่วยการทำงานของสารแคโรทีนอยด์ในการปกป้องการทำงานของดวงตา • เสริมประสิทธิภาพการไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดฝอยของดวงตา |
แคสซิส โพลีแซคคาไรด์ | • ป้องกันการแพ้เกสรของต้นสนญี่ปุ่น | |
ผักโขมหรือผักปวยเล้ง | โคลีน, อิโนซิทอล, ฟลาโวนอยด์, แคโรทีนอยด์ เช่น ลูทีน | • ลูทีนให้ผลตามปรากฏข้างต้นแต่มีปริมาณต่ำกว่า |
อาหารที่เป็นแหล่งของวิตามินเอหรือสารสังเคราะห์ | วิตามินเอ | • ป้องกันอาการตาบอดในเวลากลางคืน • ป้องกันการตาบอดจากการขาดวิตามินเอ • เป็นองค์ประกอบของเนื้อเยื่อ ช่วยการคงรูปของดวงตา |
* ผลที่พบจากรายงานวิจัยซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลจากสารกัดเข้มข้น
เอกสารอ้างอิง: คลิกที่นี่