14 JUL 2021 โอกาสทางธุรกิจ 2 นาทีในการอ่าน 1648 VIEWS

พูดถึงซานฟรานซิสโก ก็ต้องเคเบิลคาร์สุดคลาสสิก

“ซานฟรานซิสโก นั้นโก้จริงๆ” นับตั้งแต่ ค.ศ.1873 ก็ราวๆ 150 ปีมาแล้วที่ในเมืองซานฟรานซิสโกทุกที่จะเต็มไปด้วยเคเบิลคาร์มากมาย ซึ่งเคเบิลคาร์ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงกระเช้าลอยฟ้า แต่คือรถรางวิ่งกับพื้นถนนที่ขับเคลื่อนจากระบบรางด้วยสายเคเบิลนั่นเอง! ผู้คนในอดีตใช้ในการขนส่งสาธารณะเดินทางทั่วทั้งเมือง แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 3 สายเท่านั้น จึงกลายเป็นมรดกทางการท่องเที่ยวที่ทำให้ซานฟรานซิสโกเป็นเมืองที่มีเอกลักษณ์สุดคลาสสิก ด้วยภาพวิถีชีวิตของคนสมัยใหม่ ตัดกับภาพเคเบิลคาร์ที่ยังคงใช้คนขับ มีที่นั่งทำมาจากไม้ มีรูปลักษณ์ภายนอกและการตกแต่งภายในได้บรรยากาศแบบย้อนยุค

ผู้เริ่มทำระบบเคเบิลคาร์ คือ แอนดรูว์ สมิธ ฮัลลิดี (Andrew Smith Hallidie) ชาวอังกฤษที่เข้ามาตั้งรกรากที่ซานฟรานซิสโก ตามคุณพ่อของเขา ซึ่งเป็นผู้คิดค้นระบบลวดสลิงและเคเบิลลากจูง เพื่อใช้พัฒนางานในเหมืองทองและการสร้างสะพาน วันหนึ่งแอนดรูว์ได้สังเกตการที่ต้องดึงรถม้าที่ติดหล่มในถนนกรวดขึ้นมาที่ถนน Jackson จึงพัฒนาเอาสายเคเบิลมาทดลองใช้ในระบบรางเพื่อใช้ในการขนส่งต่างๆ โดยเริ่มทดลองจาก Clay Street แล้วพัฒนาสู่หลายพื้นที่ในเมืองซานฟรานซิสโก จากนั้นราว 30 ปีต่อมาก็เกิดแผ่นดินไหวและไฟไหม้ครั้งใหญ่ของซานฟรานซิสโกในปี ค.ศ.1906 ทำให้ปัจจุบันหลงเหลือเคเบิลคาร์เพียงไม่กี่สาย

พื้นที่ของซานฟรานซิสโกนั้นเป็นเนินเขาสูงต่ำลดหลั่นกันไปทั้งเมือง การนั่งเคเบิลคาร์เที่ยวไปเรื่อยๆ ถือว่าคุ้มค่ากับการเปิดประสบการณ์ เพราะเราจะได้เห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของบ้านเรือนและอ่าวซานฟรานซิสโกในแบบคลาสสิกสุดๆ One Day Trip สนุกๆ เริ่มต้นด้วยเตรียมเงิน $8 ต่อเที่ยว ไปซื้อตั๋วโดยเริ่มจากสถานี Powell St. ไปยัง Lombard St. แวะชมลอมบาร์ด สตรีท (Lombard’s Street) ถนนเนินสูงลาดชัน 40 องศา ที่มาพร้อมกับโค้ง 8 โค้งสวยงามแปลกตา มองชมวิวอ่าวและเกาะ Alcatraz อยู่ไกลๆ

จากนั้นไปจบที่สถานี Taylor แล้วเดินไปหาอาหารทะเลที่สดใหม่ กุ้งและปูตัวโตๆ และไอศครีม “Swensen's” สูตรต้นตำหรับอร่อยๆกินที่ฟิชเชอร์แมน วาล์ฟ (Fisherman's Wharf) แวะถ่ายรูปกับฝูงเจ้าก้อนแมวน้ำที่กำลังนอนอาบแดดสบายใจที่เพียร์ 39 (Pier 39) ก่อนกลับซื้อช็อคโกแลตชื่อดัง “Ghirardelli” เป็นของฝาก แค่นี้ก็ฟินได้อีก

แล้วพบกันที่ซานฟรานซิสโก … บอกแล้วว่า มันโก้จริงๆ