29 JUN 2023 บทความผลิตภัณฑ์ 5 นาทีในการอ่าน 3111 VIEWS

วิธีเลือกครีมลดรอยสิว แบบเร่งด่วน ให้ผิวหน้าสวยใส มั่นใจไร้กังวล

วิธีเลือกครีมลดรอยสิว กู้ผิวใสแบบเร่งด่วนด้วยเคล็ดลับการใช้ครีมรักษารอยสิว และครีมลดรอยดำจากสิว ต้องมีส่วนผสมอะไร เลือกแบบไหนถึงเหมาะกับรอยสิวที่เป็นอยู่บ้าง เพราะส่วนผสมในครีมที่ต่างกัน ก็อาจมีระดับการระคายเคืองที่มากน้อยไม่เหมือนกัน

รอยสิวเกิดจากอะไร

รอยสิว (Acne Scar) คือ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นหลังกระบวนการรักษาและฟื้นฟูสภาพผิวโดยธรรมชาติจากการเป็นสิว เมื่อสิวหายแล้วก็อาจจะทิ้งรอยสิวไว้บนใบหน้า ซึ่งจะสามารถเป็นรอยแผลเป็นสิวแบบต่างๆ หลายแบบ เช่น รอยดำ รอยแดง หลุมสิว หรือรอยแผลเป็นนูน ซึ่งอาจเกิดได้หลายสาเหตุดังนี้

  • บีบสิว แกะสิว เพราะผิวจะช้ำและอักเสบ หรืออาจมีเส้นเลือดฝอยแตก ทำให้เป็นรอยดำและรอยแดง ใช้เวลารักษานานมากกว่ารอยจะจางลง

  • แผลสมานช้า ซึ่งอาจเกิดจากกระบวนการผลัดเซลล์ผิวเสื่อมสภาพลง ทำให้รอยสิว หรือแผลสิวหายช้ากว่าปกติ อาจเร่งได้ด้วยการใช้ครีมลดรอยสิวที่มีวิตามินซีเพื่อเร่งกระบวนการผลัดเซลล์ผิวให้เร็วขึ้น

  • ผิวอักเสบ มักเกิดจากการมีหนองค้างอยู่ใต้ชั้นผิว และปล่อยไว้นานจนกลายเป็นรอยแผลเป็นนูน ส่วนใหญ่มักมาจากสิวอุดตัน จึงควรให้แพทย์กดสิวออกเพื่อป้องกันรอยแผลชนิดนี้ เพราะรักษาให้หายขาดได้ยาก

เลือกครีมลดรอยสิวแบบไหนดี

เลือกครีมลดรอยสิวแบบไหนดี

ครีมลดรอยสิวที่ดี ควรมีส่วนผสมที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว และสมานแผล เพื่อเร่งกระบวนการเกิดเซลล์ผิวใหม่ให้เร็วขึ้น ส่งผลให้รอยดำ รอยแดงจากสิวดูจางลงได้อย่างรวดเร็ว ลดโอกาสการเกิดแผลเป็นที่จะทำให้เห็นรอยสิวได้อย่างชัดเจน ซึ่งรอยสิวแต่ละแบบ ก็เหมาะกับครีมที่มีส่วนผสมแตกต่างกันไป

ครีมลดรอยสิวที่มีวิตามินซี เหมาะกับรอยดำจากสิว

ครีมลดรอยสิวที่มีวิตามินซีหรือกรดแอสคอร์บิก (Ascorbic Acid) เป็นทางเลือกที่ดีในการดูแลรอยดำจากสิว เนื่องจากวิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีคุณสมบัติในการกระตุ้นกระบวนการผลัดเซลล์ผิว ซึ่งช่วยในการลดรอยดำสิวที่เกิดจากเม็ดสีเมลานิน (melanin) ในผิวหนัง วิตามินซีช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวใหม่และช่วยลดการสร้างเม็ดสีเมลานินใหม่ ทำให้รอยดำจากสิวเริ่มดูจางลง 

นอกจากนี้ วิตามินซียังมีคุณสมบัติในการเพิ่มความกระจ่างใสและความสดชื่นให้กับผิวหนังได้อีกด้วย

ควรทาครีมให้ครอบคลุมบริเวณที่เป็นสิว และควรระวังการปล่อยให้ผิวเจอแดดโดยตรง

ครีมลดรอยสิวที่มีวิตามินบี 3 หรือไนอะซินาไมด์ (Niacinamide)

ครีมลดรอยสิวที่มีวิตามินบี 3 หรือกรดไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) เป็นอีกเส้นทางในการดูแลรอยสิว เนื่องจากวิตามินบี 3 เป็นสารที่มีคุณสมบัติต้านแบคทีเรีย ช่วยลดการอาการอักเสบและความรุนแรงของสิว โดยเฉพาะสิวอักเสบและสิวอุดตัน

ครีมที่มีวิตามินบี 3 จะช่วยลดการอักเสบของรอยแผลสิวและช่วยลดเม็ดสีของผิวที่เข้มขึ้นมามากกว่าส่วนอื่นๆ ให้จางลง ช่วยลดเลือนริ้วรอยและรักษารอยสิวให้จางหายไปเมื่อใช้เป็นประจำอย่างต่อเนื่อง การใช้ครีมลดรอยสิวที่มีวิตามินบี 3 ควรใช้ในปริมาณที่เหมาะสมตามคำแนะนำของผู้ผลิต โดยปกติแล้วสามารถใช้เช้า-เย็นหลังล้างหน้าอย่างสม่ำเสมอ 

อาจมีการแพ้หรือผื่นแดงในช่วงแรกๆ ที่ใช้ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณที่ผิวหน้ากำลังปรับตัวแต่หากอาการไม่ดีขึ้นหรือรุนแรงขึ้นควรหยุดใช้และปรึกษาแพทย์โดยทันที

ครีมลดรอยสิวที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants)

ครีมลดรอยสิวที่มีสารต้านอนุมูลอิสระจะช่วยปกป้องผิวหน้าจากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบและการระคายเคืองผิวหน้าจากหลายปัจจัย เช่น แสงแดดหรือสารเคมี เสริมสร้างกระบวนการฟื้นฟูผิวหน้า ช่วยลดรอยดำและรอยแดงจากสิว สามารถใช้ในขั้นตอนบำรุงผิวก่อนแต่งหน้าก่อนทาครีมกันแดดได้เลย

ครีมลดรอยสิวที่มีเรตินอยด์ (Retinoids) 

ครีมลดรอยสิวที่มีเรตินอยด์ (Retinoids) เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบเรตินอยด์ ซึ่งมีประสิทธิภาพในการรักษาและลดรอยสิวได้ ช่วยในการเพิ่มการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ลดการอักเสบของผิว การใช้ครีมลดรอยสิวที่มีเรตินอยด์ต้องใช้ให้ถูกต้องเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและป้องกันผลข้างเคียงที่ไม่ต้องการได้ โดยควรระวังว่าการแพ้หรือผื่นแดงในช่วงแรกๆ ที่ใช้ ดังนั้นจึงควรใช้ตามปริมาณที่ระบุบนฉลากหรือปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำปริมาณการใช้ เพราะอาจจะเกิดอาการแพ้ได้ จึงต้องเริ่มจากความเข้มข้นที่ต่ำ และความถี่ในการใช้น้อย จากนั้นค่อยๆ ปรับเพิ่มความเข้มข้นที่ผิวสามารถรับได้ และสิ่งที่สำคัญ คือต้องทากันแดดควบคู่ไปด้วย

ครีมลดรอยสิวที่มีสารสกัดจากซีบัคธอร์น เหมาะกับรอยแดงจากสิว

ครีมลดรอยสิวที่มีสารสกัดจากซีบัคธอร์นสามารถช่วยลดรอยแดงจากสิวได้ เนื่องจากสารสกัดจากซีบัคธอร์นมีส่วนช่วยลดการอักเสบและช่วยปรับสมดุลของผิว ช่วยให้รอยแดงที่เกิดจากสิวดูอ่อนลงและลดลงได้เร็วขึ้น โดยใช้ในขั้นตอนบำรุงผิว หลังจากล้างทำความสะอาดหน้าและใช้โทนเนอร์ปรับสภาพผิวเรียบร้อยแล้ว 

ปกปิดรอยสิวอย่างไรให้เนียน

ปกปิดรอยสิวอย่างไรให้เนียน

หากต้องการลดรอยดำจากสิวแบบเร่งด่วน นอกจากครีมก็ยังมีขั้นตอนการปกปิดรอยสิวแบบง่ายๆ ระหว่างที่รอให้ครีมลดรอยสิวทำงาน นั่นก็คือการใช้เครื่องสำอางประกอบในการปกปิดรอยสิวให้เนียน ควบคู่ไปกับการดูแลผิวที่ดี ดังนี้

1. เติมความชุ่มชื้นให้ผิว  

การเติมความชุ่มชื้นให้ผิวเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการดูแลผิวหน้า เนื่องจากผิวหน้าที่มีความชุ่มชื้นสมดุลจะดูสุขภาพดีและเรียบเนียนมากขึ้น โดยอาจจะใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีเนื้อบางเบาช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและกระจ่างใส หรือเซรั่มไฮยาลูรอนที่ช่วยดูแลไมโครไบโอมของผิวให้มีสุขภาพดีและเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้าก่อนการแต่งหน้าได้

2. ใช้รองพื้นช่วยปกปิดรอยสิวจางๆ เพื่อผิวที่เรียบเนียบขึ้น

ในขั้นตอนนี้เป็นการใช้รองพื้นปรับและเตรียมผิวหน้าให้เรียบเนียน โดยการใช้แปรงเกลี่ยรองพื้นทั่วใบหน้าเพื่อปกปิดรอยสิวจางๆ ได้ในระดับหนึ่งซึ่งจะทำให้ใบหน้ามีสีผิวเท่ากัน และไม่ดูหนาเกินไป ก่อนที่จะลงคอนซีลเลอร์ในขั้นต่อไป

3. คอนซีลเลอร์แต้มรอยสิว  

การใช้คอนซีลเลอร์ปกปิดรอยสิวเป็นเทคนิคที่ใช้เพื่อทำให้รอยสิวหรือจุดที่ต้องการปกปิดดูไม่เป็นที่สังเกตเห็น ควรเลือกใช้คอนซีลเลอร์ที่สีตรงกับผิว และเน้นแต้มลงไปบนรอยสิวตรงๆ ใช้นิ้วมือแตะเบาๆ ให้คอนซีลเลอร์เซ็ตตัว ก่อนแตะแป้งผสมรองพื้นทับ จะทำให้การแต่งหน้าดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น

4. ลงแป้ง หรือแป้งผสมรองพื้น  

การลงแป้งหรือแป้งผสมรองพื้นเป็นขั้นตอนสำคัญในกระบวนการแต่งหน้า เป้าหมายหลักของการลงแป้งก็เพื่อเติมความเรียบเนียนและปกปิดรอยต่างๆ บนผิวหน้า เพื่อให้ผิวดูสวยงามสม่ำเสมอขึ้น และช่วยปิดรอยจุดด่างดำ ริ้วรอย และรอยสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

วิธีดูแลผิวหน้าไม่ให้เกิดรอยสิว

นอกจากการรักษาและใช้ครีมลดรอยสิวแล้ว การป้องกันการเกิดรอยสิวใหม่และดูแลผิวหน้าให้ปราศจากสิวก็สำคัญไม่แพ้กัน

อย่าบีบหรือกดสิวเอง 

ไม่ควรทำการบีบหรือกดสิวเอง เพราะอาจกระตุ้นแบคทีเรียในสิวให้แพร่กระจายไปยังส่วนอื่นของผิวหน้า ทำให้เกิดสิวเพิ่มขึ้น แถมยังอาจทำให้เกิดการอักเสบและรอยแผลเพิ่มได้ นอกจากนี้การบีบหรือกดสิวอาจเปิดทางเข้าให้แก่แบคทีเรียและสารเคมีอื่นๆ ที่อาจเป็นอันตรายและทำให้เกิดการติดเชื้อหรือการอักเสบเพิ่มขึ้นได้ นอกจากนี้ การบีบสิว แกะสิว หรือกดสิวเอง ยังเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดรอยแดงและรอยดำที่ต้องใช้เวลานานในการฟื้นตัว

เลือกครีมที่ช่วยปลอบประโลมอาการระคายเคือง 

การเลือกครีมที่ช่วยปลอบประโลมอาการระคายเคืองสามารถลดโอกาสเกิดรอยดำและรอยแดงจากสิวได้ เนื่องจากการอักเสบที่ลดลงจะช่วยให้แผลจากรอยสิวสามารถรักษาตัวเองได้ง่ายขึ้นจนไม่เป็นรอยแผลเป็นให้เห็น ซึ่งส่วนประกอบที่ปลอดภัยและอ่อนโยนกับผิวอย่างสารสกัดซีบัคธอร์นใน แอมพูลของสตูดิโอสกิน หรือเลือกครีมเจลที่เนื้อบางเบาแบบ มอยส์เจอร์ไรเซอร์ของสตูดิโอสกิน ก็เป็นตัวเลือกที่เหมาะกับผิวมันเป็นสิวง่าย

พยายามหลีกเลี่ยงแสงแดด

เมื่อผิวหน้าเจอแสงแดดโดยตรง ก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดรอยสิว เพราะแสงแดดอาจกระตุ้นการทำงานของต่อมน้ำมันในผิวหน้า ทำให้มีการผลิตน้ำมันมากขึ้น จนเกิดการอุดตันและอักเสบของแผลสิว ทั้งรังสียูวี และรังสีอินฟราเรดยังทำลายเซลล์ชั้นผิวชั้นนอก จนเกิดการลอก (peeling) และแดงขึ้น (redness) ได้ จึงแนะนำให้ทาครีมกันแดดเป็นประจำจะดีต่อการลดรอยสิวที่สุด

รักษาไมโครไบโอมบนใบหน้าให้มีความสมดุล 

ไมโครไบโอม (Microbiome) คือชุดของเชื้อแบคทีเรียและจุลินทรีย์ต่างๆ ที่อาศัยอยู่บนผิวหน้าและในระบบร่างกายของเรา ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรักษาสมดุลของความแข็งแรงบนผิว และระบบต่างๆ ในร่างกาย เมื่อไมโครไบโอมบนใบหน้าไม่สมดุล จุลินทรีย์ไม่ดีมีจำนวนเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผิวมีปัญหาต่างๆ ทั้งการผลัดเซลล์ช้า อักเสบ ระคายเคืองง่าย อุดตันง่าย ซึ่งนำไปสู่การเกิดสิว และรอยสิวในท้ายที่สุด 

การรักษาไมโครไบโอมให้มีความสมดุลจึงสำคัญ โดยเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เน้นปรับสมดุลให้ไมโครไบโอมผิว เช่น การใช้โทนเนอร์ที่ช่วยเติมพรีโบโอติกส์ให้ผิว การกินไฟเบอร์ และอาหารเสริมโพรไบโอติกส์เป็นประจำ ส่วนการทำความสะอาดผิวหน้าควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่ทำลายไมโครไบโอมผิวด้วยเช่นกัน

สรุป

เมื่อสิวหายแล้วก็อาจจะทิ้งรอยสิวไว้บนใบหน้า การรบกวนสิว ผิวอักเสบ ล้วนมีส่วนทำให้เกิดรอยสิวได้ โดยรอยสิวนั้นมีหลายแบบไม่ว่าจะเป็น หลุมริ้วรอย จุดด่างดำ หรือรอยแดง ต่างๆ ซึ่งการใช้ครีมลดรอยสิวประกอบกับวิธีต่างๆ ในการรักษาสุขภาพของใบหน้า ก็จะเป็นกุญแจสำคัญในการกำจัดปัญหารอยสิวให้หมดไปในระยะยาว สำหรับใครที่ต้องการแก้ปัญหารอยสิวแบบเร่งด่วน ก็อาจจะใช้ครีมรักษารอยสิวควบคู่ไปกับเทคนิคการแต่งหน้าและเครื่องสำอางที่เป็นมิตรกับสุขภาพผิวหน้า ไม่ทำให้ปัญหารอยสิวเกิดต่อเนื่องไปอีกได้ เพียงเท่านี้ใครๆ ก็สามารถเปลี่ยนปัญหารอยสิวให้กลายเป็นปัญหาของเมื่อวานได้แล้ว

Reference

  1. Cleveland Clinic. Cystic Acne. my.clevelandclinic.org. Retrieved 28 May 2023.

  2. Heather L. Brannon, MD. What to Know About Topical Retinoids for Acne. verywellhealth.com. Published 15 March 2022. Retrieved 28 May 2023.

  3. Zia Sherrell, MPH. What are the benefits of sea buckthorn oil?. Medicalnewstoday.com. Published 6 October 2021. Retrieved 28 May 2023.

  4. Tolu Ajiboye. Niacinamide for Acne: Benefits, How to Use It, Side Effects and More. dermcollective.com. Published 2 February 2020. Retrieved 28 May 2023.