07 JUN 2023 บทความผลิตภัณฑ์ 6 นาทีในการอ่าน 2680 VIEWS

เลือกครีมกันแดดยังไง ปกป้องผิวใสได้ยาวนาน

ครีมกันแดดเป็นหนึ่งในตัวช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด ไม่ทำให้ผิวคล้ำเสีย และลดการเกิดริ้วรอยได้เป็นอย่างดีอีกด้วย เพราะแสงแดดประกอบด้วยรังสียูวี และรังสีอินฟราเรด ซึ่งสามารถทำให้เนื้อเยื่อของเซลล์ผิวหนังเสื่อมสภาพ

สิ่งเหล่านี้ อาจก่อให้เกิดปัญหาผิวหน้าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฝ้า กระ รวมไปถึงริ้วรอยก่อนวัยได้ ครีมกันแดดจึงมีความสำคัญมาก แต่ต้องรู้วิธีเลือกครีมกันแดดที่ดี และวิธีใช้ครีมกันแดดที่ถูกต้อง เพื่อปกป้องผิว จากแสงได้ทุกองศา

เลือกกันแดดแบบไหนดี? Chemical, Physical หรือ Hybrid1

เลือกกันแดดแบบไหนดี? Chemical, Physical หรือ Hybrid1 

ครีมกันแดดในปัจจุบัน มี 3 ประเภทหลักๆ คือกันแดดแบบ Chemical, Physical และ Hybrid ซึ่งต่างก็มีกระบวนการปกป้องผิวจากรังสียูวีที่แตกต่างกัน แต่จะเลือกกันแดดแบบไหนดี ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์บนผิวที่ผู้ใช้ต้องการ

กันแดดแบบ Chemical

กันแดดแบบ Chemical เป็นครีมกันแดดที่มีราคาย่อมเยา หาซื้อได้ง่าย เนื้อครีมมีสีขาว เข้มข้นและค่อนข้างคงตัว  ไม่ไหลเยิ้มง่าย มีจุดเด่นในการช่วยดูดซับรังสียูวีเอาไว้ก่อนเข้าไปทำร้ายผิวหนัง และควรทาซ้ำทุก 1 - 2 ชั่วโมง เพื่อเพิ่มความสามารถในการดูดซับยูวีอย่างต่อเนื่อง

  • ข้อดี คือเนื้อครีมไม่มีสี ถึงจะมีเนื้อครีมเข้มข้นแต่กลับบางเบา ไม่ทำให้หนักผิว สามารถเกลี่ยทาได้ง่าย เหมาะใช้ร่วมกับสกินแคร์

  • ข้อเสีย คือสามารถปกป้องรังสี UVB ได้จริง แต่ไม่อาจปกป้องครอบคลุม UVA ทุกชนิด มีโอกาสแพ้หรือระคายเคืองกับกันแดดแบบนี้ได้ง่าย ทาแล้วต้องรอเวลา 20-30 นาทีก่อนออกแดด รวมถึงอาจทำให้อุดตันได้ จนเกิดสิวได้

กันแดดแบบ Physical

กันแดดแบบ Physical เป็นครีมกันแดดที่สะท้อนรังสียูวีออกไปจากผิว มักผสม zinc oxide และ titanium dioxide เนื้อครีมมีสีขาว มีน้ำหนัก ทำให้รู้สึกเหนอะหนะมากกว่าแบบ Chemical แต่ทำหน้าที่เป็นเหมือนเกราะเคลือบชั้นผิวเอาไว้ไม่ให้โดนรังสียูวีโดยตรง

  • ข้อดี คือปกป้องผิวได้ทั้งรังสี UVA-I UVA-II และ UVB เหมาะมากกับผิวแพ้ง่าย เด็กหรือสตรีตั้งครรภ์สามารถใช้ได้ ทาแล้วสามารถออกแดดได้เลย ไม่ต้องทาซ้ำบ่อย

  • ข้อเสีย คือเมื่อทาแล้วมีคราบขาวเล็กน้อย โดนเหงื่ออาจหลุดออกได้ง่าย 

กันแดดแบบ Hybrid8

กันแดดแบบ Hybrid เป็นครีมกันแดดที่รวมคุณสมบัติของกันแดดแบบ Chemical กับกันแดดแบบ Physical คือทำได้ทั้งดูดซับรังสีและสะท้อนรังสี ผสมผสานทั้งส่วนผสมของแร่ธาตุและส่วนประกอบทางเคมีเข้าไว้ด้วยกัน จึงทำให้ได้สูตรที่เบาบางกว่าและซึมซาบได้ดีกว่า 

  • ข้อดี คือในหลอดเดียวได้รับการปกป้องถึง 2 แบบ ดูดซับรังสีและสะท้อนรังสี เนื้อครีมสีขาวนวลดูน่าใช้ เมื่อทาแล้วซึมซาบได้ง่าย สามารถออกแดดได้เลย ใช้ได้กับทุกสภาพผิว โอกาสที่จะเกิดอาการแพ้น้อย

  • ข้อเสีย เพราะกันแดดประเภทนี้ เป็นการพัฒนาโดยปรับจุดเด่นและลดจุดด้อยของ Chemical และ Physical ก่อนออกมาเป็น Hybrid อาจมีข้อเสียบางอย่างจึงเหมือนคุณสมบัติของกันแดด 2 ประเภทก่อนหน้า แต่ไม่เห็นผลชัดเท่า

ทำไมต้องทากันแดด?

ทำไมต้องทากันแดด?

ครีมกันแดด เป็นตัวช่วยป้องกันผิวจากรังสียูวีในแสงแดด ที่อาจก่อให้เกิดอาการและโรคที่เกี่ยวกับผิวหนังต่างๆ ซึ่งในครีมกันแดดบางยี่ห้อ ก็มีส่วนผสมที่สามารถช่วยปกป้องผิวจากมลภาวะ และรังสีอื่นๆ ได้อีกด้วย การทาครีมกันแดดทุกครั้งก่อนออกไปเผชิญแสงแดดจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ควรปรับให้เป็นนิสัย

ปกป้องไม่ให้ผิวไหม้

เมื่อออกแดดเป็นระยะเวลานาน รังสียูวี รังสีอินฟราเรด และความร้อนจากแสงแดดจะเผาทำลายผิวจนเกิดอาการแสบร้อน หรือที่เรียกว่า “ผิวไหม้” ครีมกันแดดเป็นตัวช่วยที่สามารถลดการแสบไหม้ของผิว และลดโอกาสที่จะเกิดผิวหนังลอกได้

ลดปัญหาผิวหมองคล้ำ

แม้อยู่ในที่ร่ม แต่จุดด่างดำ ฝ้า กระ และความหมองคล้ำ ก็อาจเกิดขึ้นได้ หากได้รับรังสียูวีอยู่เป็นประจำ เพราะรังสียูวี สามารถทะลุผ่านวัสดุผ้า พลาสติก หรือแม้แต่กระจกใสมาถึงผิวเราได้ จึงจำเป็นต้องทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ แม้อยู่ในอาคาร หรือในที่ร่ม

ลดปัญหาการเกิดริ้วรอยก่อนวัย

แสงแดดเป็นตัวการที่ทำลายชั้นผิว โดยรังสียูวีและความร้อนทำให้ผิวสูญเสียน้ำและขาดคอลลาเจน จนผิวไม่มีความชุ่มชื้น เมื่อผิวแห้งมากเลยส่งผลให้ผิวไม่ยืดหยุ่น อาจเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ การทาครีมกันแดดทุกวัน จึงสามารถช่วยปกป้องผิว รักษาคอลลาเจนในผิวหนังไว้ ลดปัญหาผิวสูญเสียน้ำ คงความยืดหยุ่นของผิว ช่วยลดเลือนริ้วรอย ไม่ทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย

ลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งผิวหนัง

ในแสงแดดมีรังสี UV ที่พร้อมเข้าทำลาย DNA (Genotoxic) รวมถึงมีสารกระตุ้นมะเร็งและก่อให้เกิดอนุมูลอิสระแก่ร่างกาย จนอาจทำให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนังได้ เมื่อได้รับแสงแดดจัดโดยตรงเป็นเวลานานจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งผิวหนังมากขึ้น การทาครีมกันแดดเป็นประจำเมื่อออกแดด จึงเป็นเกราะป้องกันไม่ให้ผิวหนังโดนรังสีแบบเต็มๆ จึงทำให้ลดโอกาสเสี่ยงเกิดมะเร็งผิวหนังได้เป็นอย่างดี2

วิธีเลือกครีมกันแดดให้เหมาะกับผิว

วิธีเลือกครีมกันแดดให้เหมาะกับผิว

วิธีเลือกครีมกันแดดให้เหมาะกับผิว ต้องดูที่ค่า SPF และส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ รวมไปถึงลักษณะการใช้งานที่เหมาะกับชีวิตประจำวัน เพื่อให้สามารถหยิบทาได้ทุกวัน และปกป้องผิวจากแสงแดดได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

ปกป้องผิวจาก UVB ด้วยค่า SPF 50+

ตัวเลขด้านหลัง SPF คือ ระดับการปกป้องผิวจากรังสียูวีบี ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดจุดด่างดำ กระ ฝ้า ความหมองคล้ำ และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งผิวหนังได้ ยิ่งค่า SPF สูง ก็จะยิ่งปกป้องผิวจากยูวีบีได้ดีขึ้น โดยค่า SPF 50 คือค่าที่สูงสุด เทียบเท่ากับระดับการกรองรังสียูวีบีที่ 98% 

หากเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 15 หรือต่ำกว่า ก็สามารถป้องกันผิวไหม้ได้เช่นกัน แต่อาจไม่สามารถป้องกันมะเร็งผิวหนังได้ ดังนั้นจึงควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50+ เพื่อปกป้องผิวจากรังสียูวีบีอย่างมีประสิทธิภาพ3 

ปกป้องผิวจาก UVA-I และ UVA-II ด้วยค่า PA++++

จำนวนบวกด้านหลังค่า PA คือระดับการปกป้องผิวจากรังสียูวีเอประเภทที่ 1 และ 2 ซึ่งเป็นตัวการทำลายคอลลาเจนในชั้นผิว ทำให้เกิดความหย่อนคล้อย และริ้วรอยต่างๆ ยิ่งมี PA++++  ก็ยิ่งปกป้องผิวจากรังสียูวีเอได้มากขึ้น โดยจำนวน 4 บวก คือจำนวนที่สูงที่สุด เทียบเท่ากับระดับการกรองรังสียูวีเอที่ >16 UVAPF หรือมีประสิทธิภาพสูงมาก4

ปกป้องผิวจากรังสีอินฟราเรดและแสงสีฟ้าได้

รังสีอินฟราเรดและแสงสีฟ้า คือสิ่งที่ทำร้ายผิวได้ถึงชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ได้มากกว่ารังสียูวีเอและยูวีบี ซึ่งส่งผลทำให้ผิวแก่ก่อนวัย และเป็นสาเหตุหลักของมะเร็งผิวหนังได้เช่นกันจึงควรเลือกครีมกันแดดที่สามารถปกป้องผิวจากรังสีอินฟราเรดและแสงสีฟ้าได้ด้วย

เลือกครีมกันแดดที่มีส่วนผสมที่มาจากธรรมชาติ 

เลือกครีมกันแดด ที่มีส่วนผสมที่มาจากธรรมชาติ เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดอาการแพ้ โดยเฉพาะในผิวหน้าที่บอบบาง หรือคนที่มีผิวแพ้ง่าย ซึ่งตัวอย่างส่วนผสมจากธรรมชาติที่มีสารช่วยป้องกันแสงแดดได้ ได้แก่ อะเซโรลา เชอร์รี ดอกเดซี่ออสเตรเลีย และสารสกัดจากแบล็คเบอร์รี่ เป็นต้น 

เลือกครีมกันแดดที่เป็นมิตรต่อปะการัง

ควรเลือกครีมกันแดดที่เป็นมิตรต่อปะการัง เพื่อเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อม โดยเลือกครีมกันแดด ที่ไม่มีสาร Oxybenzone แม้จะเป็นสารที่ช่วยป้องกันรังสี UVA และ UVB ได้เป็นอย่างดีก็จริง แต่เมื่อครีมกันแดดละลายลงสู่ทะเล สารนี้สามารถส่งผลให้ตัวอ่อนของปะการังโตอย่างผิดรูป หรืออาจถึงขั้นทำให้ปะการังตายได้ อุทยานแห่งชาติหลายๆ แห่ง จึงมีประกาศห้ามใช้ครีมกันแดดที่มีสารดังกล่าวเป็นส่วนผสมขณะเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ7

เลือกครีมกันแดดที่ไม่มีสารทำให้ผิวอุดตัน

เลือกครีมกันแดดที่ไม่มีสารทำให้ผิวอุดตัน อย่างเช่น น้ำมันมะพร้าว พาราฟินแวกซ์ หรือสารเคมีอย่าง Dimethicone, Oxybenzone และ Octylmethoycinnamate เป็นต้น ควรมองหาครีมกันแดดทาหน้าที่มีเนื้อบางเบา สบายผิว ทำให้อยากหยิบมาใช้ในทุกๆ วัน 

เลือกเนื้อผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผิว

  • กันแดดเนื้อโลชั่น เนื้อมีความบางเบา ซึมซาบลงสู่ผิวได้ไว ไม่ทำให้รู้สึกเหนอะหนะแต่ให้ความชุ่มชื้นได้ดี อีกทั้งยังยึดเกาะอยู่บนผิวได้ยาวนาน ไม่อุดตันผิว เหมาะกับทุกสภาพผิว

  • กันแดดเนื้อเจล สัมผัสลื่น ซึมง่าย ไม่เหนียวเหนอะหนะ ชุ่มชื้น สบายผิว ทาแล้วเครื่องสำอางติดทน ครีมกันแดดทาหน้า เหมาะสำหรับคนที่มีสภาพผิวมัน เพราะไม่ทำให้ผิวมันเพิ่ม แต่อาจมีส่วนผสมของสารที่ทำให้อุดตันผิว

  • ครีมกันแดดเนื้อครีม มีความเข้มข้น เพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิว เหมาะสำหรับคนที่มีผิวแห้ง กันแดดเนื้อครีมสีขาว เหมาะแก่การใช้ชีวิตประจำวัน การออกกำลังกาย แต่การทาควรทาเหนือดวงตา ป้องกันการไหลเข้าตาขณะเหงื่อออก

  • กันแดดเนื้อสเปรย์ เหมาะสำหรับเติมครีมกันแดดระหว่างวัน โดยเฉพาะขณะทำกิจกรรมกลางแจ้ง ออกทริปเที่ยวทะเล หรือดำน้ำ เป็นต้น เนื่องจากเป็นกันแดดที่พกพาได้ง่าย ใช้งานสะดวก เพียงฉีดพ่นทั่วผิว ก็กันแดดได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แต่ไม่ควรฉีดลงผิวหน้าโดยตรง แนะนำให้ฉีดลงฝ่ามือ ก่อนตบไปที่ผิว

วิธีทาครีมกันแดดที่ถูกต้อง

วิธีทาครีมกันแดดที่ถูกต้อง

แม้จะเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพสูงป้องกันได้ทั้งรังสียูวี รังสีอินฟราเรด และแสงสีฟ้า แต่การทากันแดดที่ไม่ถูกวิธี ผิวก็ได้รับการปกป้องได้เต็มประสิทธิภาพ จึงควรทากันแดดในปริมาณที่เหมาะสม และทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมง

  1. ทาครีมกันแดดก่อนออกแดดประมาณ 15 ถึง 30 นาที

  2. ใช้ครีมกันแดดประมาณ 1 กรัมสำหรับใบหน้า6 หรือ 2 ข้อนิ้วมือ หรือ 1  เหรียญสิบ

  3. แต้มกันแดดบนผิวหน้า 5 จุด หน้าผาก แก้ม 2 ข้าง คาง จมูก และเกลี่ยเนื้อกันแดดจนซึมทั่วผิวหน้า

  4. ในกรณีที่มีเหงื่อออกมาก หรือผิวเปียก ควรทาครีมกันแดดซ้ำทันที

  5. เมื่อเจอแสงแดดติดต่อกันเป็นเวลานาน ควรทาครีมกันแดดซ้ำทุก 2 ชั่วโมง

  6. หลีกเลี่ยงการออกแดดช่วง 10 โมงเช้า จนถึง 4 โมงเย็น เนื่องจากมีแสงอัลตร้าไวโอเลตแรง 

สรุป

แสงแดด จะมีรังสียูวีและรังสีอินฟราเรดที่คอยทำร้ายผิวหนัง เมื่อสัมผัสเป็นระยะเวลานาน จะส่งผลให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้ ซึ่งการทาครีมกันแดด มีส่วนผสมที่ช่วยปกป้องผิวจากความหมองคล้ำ ลดการทำร้ายจากแดดที่ทำให้ผิวไหม้ ลดการเกิดริ้วรอยก่อนวัย และลดโอกาสในการเกิดมะเร็งผิวหนัง ซึ่งนอกจากนี้ การทาครีมกันแดดที่ถูกวิธี ก็มีส่วนช่วยป้องกันผิวจากแสงแดดได้อย่างมีประสิทธิภาพ


Reference

  1. Elisabeth G. Richard, MD. All About Sunscreen. Skincancer.org. Published 8 March 2019. Retrieved 21 February 2023.

  2. ภูริตา บุญล้อม. แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังชี้ จุดสำคัญที่คนมักจะลืมทากันแดดคือบริเวณเปลือกตา. Thestandard.co. Published 30 June 2022. Retrieved 3 March 2023. 

  3. Stacy Simon. Choose the Right Sunscreen. Cancer.org. Published 11 June 2018. Retrieved 21 February 2023.

  4. Food and Drug Administration (FDA). ประกาศคณะกรรมการเครื่องสำอาง เรื่อง การแสดงค่าความสามารถในการป้องกันแสงแดดของเครื่องสำอางที่มีสารป้องกันแสงแดด พ.ศ. ๒๕๖๐. Thai government gazette 134/272 (10). Published 7 November 2017. Retrieved 23 March 2023.

  5. Ju Hee Lee, Mi Ryung Roh, and Kwang Hoon Lee. Effects of Infrared Radiation on Skin Photo-Aging and Pigmentation Yonsei Medicine Journal, 31 Aug 2006; 47(4): 485–490. Published Online  31 August 2006. Retrieved 23 March 2023

  6. นายแพทย์รัฐภรณ์ อึ๊งภากรณ์. ครีมกันแดด เลือกให้เหมาะ ใช้ให้ถูก ปกป้องผิว. Bumrungrad.com. Published 28 May 2013. Retrieved 23 March 2023.

  7. Thaipbs.  คุมเข้มแล้ว! ห้ามใช้ครีมกันแดดผสม 4 สารเคมี ห่วง "ปะการัง" พัง. Thaipbs.or.th. Published 4 August 2022. Retrieved 23 March 2023.Molly Adams, MD Anderson Cancer Center, the University of Texas. Mineral or chemical sunscreen: Which should you choose?. Mdanderson.org. Published 30 June 2022. Retrieved 23 March 2023.