14 FEB 2025 บทความผลิตภัณฑ์ 3 นาทีในการอ่าน 328 VIEWS

น้ำมันอัลมอนด์ (Almond Oil) บำรุงผมชี้ฟูให้สวยอย่างเป็นธรรมชาติ

  • น้ำมันอัลมอนด์ หรือ Almond Oil คือน้ำมันที่ได้จากการบีบจากเมล็ดอัลมอนด์ดิบโดยใช้ความร้อนต่ำ เพื่อให้ได้สารอาหาร วิตามินและแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งนอกจากสามารถกินได้แล้ว ยังสามารถนำมาใช้บำรุงผมได้อีกด้วย
  • ในน้ำมันอัลมอนด์อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่ช่วยบำรุงผมหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นวิตามินบี โอเมกา 3 แมกนีเซียม และวิตามินอี
  • น้ำมันอัลมอนด์ช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับเส้นผม บำรุงผมไม่ให้ชี้ฟู รักษาผมเสีย กระตุ้นการงอกของเส้นผมใหม่ และช่วยบำรุงหนังศีรษะ
  • การใช้ประโยชน์น้ำมันอัลมอนด์สามารถใช้ได้ทั้งในรูปแบบของแชมพูน้ำมันอัลมอนด์และน้ำมันอัลมอนด์หมักผมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื่น

บำรุงผมเสียให้ผมสวยด้วยน้ำมันอัลมอนด์ (Almond Oil) ที่มีประโยชน์ช่วยรักษาผมเสีย บำรุงหนังศีรษะ สามารถใช้น้ำมันอัลมอนด์หมักผมหรือจะใช้เป็นแชมพูอัลมอนด์ก็น่าสนใจ

น้ำมันอัลมอนด์ (Almond Oil) คืออะไร?

น้ำมันอัลมอนด์ หรือ Almond Oil คือน้ำมันที่ได้จากการบีบจากเมล็ดอัลมอนด์ดิบในอุณหภูมิต่ำ เพื่อให้ได้น้ำมันอัลมอนด์ที่มีสรรพคุณด้านโภชนาการสูง อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ อย่างโปรตีน กรดไขมันโอเมกา และวิตามินอี แต่นอกจากจะมีคุณค่าทางสารอาหารแล้ว น้ำมันอัลมอนด์ยังถูกนำมาใช้ในการบำรุงผมและแก้ปัญหาผมเสีย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ปัจจุบันน้ำมันอัลมอนด์ถูกนำไปเป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์แชมพูบำรุงผมนั่นเอง

น้ำมันอัลมอนด์บำรุงผมได้อย่างไร

1. เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับเส้นผม

โดยทั่วไป คนมักใช้น้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันละหุ่งในการหมักผมให้เงางาม แต่ถ้าไม่ชอบความมันบนเส้นผม แนะนำให้ใช้น้ำมันอัลมอนด์หมักผมแทน เพราะในน้ำมันอัลมอนด์นอกจากจะมีวิตามินอีสูง ใช้บำรุงผมเป็นประจำจะช่วยให้เส้นผมกลับมาดูมีความยืดหยุ่นสุขภาพดีแล้วยังมีน้ำหนักเบากว่าน้ำมันมะพร้าวและน้ำมันละหุ่ง ทำให้ล้างออกง่ายกว่า

2. บำรุงผมเสีย ผมชี้ฟู

หากไม่อยากตัดผมส่วนที่เสียหรือชี้ฟูออก แนะนำให้ใช้น้ำมันอัลมอนด์บำรุงผมและใช้หมักผมเป็นประจำ เพราะในอัลมอนด์มีโปรตีนสูงที่ช่วยกระตุ้นการสร้างเส้นผมใหม่ ทั้งยังมีสารแอนติออกซิแดนท์และวิตามินที่ลดการแตกปลายของผม ส่วนวิตามินอีและกรดไขมันก็มีส่วนช่วยทำให้ผมกลับมาชุ่มชื้น ทั้งยังทำให้ผมที่ชี้ฟูกลับมานุ่มสลวยอีกครั้ง

3. ฟื้นฟูและซ่อมแซมเส้นผม

นอกจากมีวิตามินสูง ธาตุเหล็กในอัลมอนด์ยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดได้ดีหากใช้เป็นประจำ ทั้งนี้การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำมันอัลมอนด์บำรุงหนังศีรษะเป็นประจำก็มีส่วนช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดบริเวณหนังศีรษะ เพื่อเป็นการเร่งให้เกิดเส้นผมใหม่ เสริมสร้าง ซ่อมแซม และบำรุงรากผมได้เช่นเดียวกัน

4. ช่วยบำรุงหนังศีรษะ

เพราะในน้ำมันอัลมอนด์มีทั้งวิตามินอีและวิตามินดีที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น การใช้น้ำมันอัลมอนด์นวดหนังศีรษะสัปดาห์ละ 1 ครั้ง จะช่วยให้หนังศีรษะที่แห้งกร้านกลับมาสุขภาพดี นอกจากนี้ น้ำมันอัลมอนด์ยังถูกแนะนำให้นำไปใช้กับการรักษาโรคผิวหนังอักเสบจากไขมันและโรคสะเก็ดเงินที่หนังศีรษะอีกด้วย

น้ำมันอัลมอนด์ กับวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ช่วยบำรุงผม

เหตุผลที่ทำให้น้ำมันอัลมอนด์มีประโยชน์ต่อเส้นผม ทั้งช่วยเพิ่มความชุ่มชื่น ลดการชี้ฟู ป้องกันการขาดหลุดร่วง และบำรุงหนังศีรษะ เนื่องด้วยมีวิตามินและแร่ธาตุหลากหลายชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อเส้นผม ดังนี้

วิตามินบี

เนื่องด้วยวิตามินบีหรือโบโอตินเป็นสารสำคัญในการสร้างเคราติน (Keratin) ที่เป็นองค์ประกอบของเส้นผม นอกจากนั้นยังช่วยกระตุ้นเม็ดเลือดขาวให้ขนส่งออกซิเจนและสารอาหารไปหล่อเลี้ยงหนังศีรษะและรูขุมขน การใช้น้ำมันอัลมอนด์หรือผลิตภัณฑ์ที่มี Almond Oil อย่างแชมพูอัลมอนด์ที่อุดมไปด้วยวิตามินบี จึงมีส่วนช่วยให้เส้นผมและหนังศีรษะแข็งแรงมากยิ่งขึ้น

โอเมกา 3

โอเมกา 3 ถือเป็นหนึ่งในเป็นกรดไขมันจำเป็นของร่างกายในการบำรุงผิวและเส้นผม แต่ถึงอย่างนั้น ร่างกายก็ไม่สามารถผลิตได้เอง ด้วยเหตุนี้ หากไม่กินอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารประเภทนี้ อย่างปลาทะเลน้ำลึก ธัญพืชบางชนิด และน้ำมันอัลมอนด์ จึงอาจส่งผลให้มีอาการผมร่วงได้นั่นเอง

แมกนีเซียม

แม้ในอัลมอนด์จะมีแมกนีเซียมเพียง 270 มิลลิกรัมต่ออัลมอนด์ 100 กรัม1 แต่ถึงอย่างนั้น การกินอัลมอนด์หรือน้ำมันอัลมอนด์ที่มีแมกนีเซียม ก็มีส่วนช่วยบำรุงผมให้มีความแข็งแรง เพิ่มความเงางาม และลดการแตกหักของเส้นผมได้

วิตามินอี

เหตุผลที่หลายคนเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำมันอัลมอนด์หมักผม เนื่องจากน้ำมันอัลมอนด์ที่อุดมไปด้วยวิตามินอีและช่วยเพิ่มความเงางามให้กับเส้นผมแล้ว ยังช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผมด้วย

วิธีการนำน้ำมันอัลมอนด์มาใช้บำรุงสุขภาพผม.jpg

วิธีการนำน้ำมันอัลมอนด์มาใช้บำรุงสุขภาพผม

จะเห็นว่าน้ำมันอัลมอนด์มีประโยชน์ต่อเส้นผมและหนังศีรษะ เพราะฉะนั้น จึงมีการนำน้ำมันอัลมอนด์มาทาบนเส้นผมหรือใช้ในรูปแบบผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Almond Oil ดังนี้

แชมพูน้ำมันอัลมอนด์

สำหรับการใช้น้ำมันอัลมอนด์ในรูปแบบแชมพูบำรุงผม จะช่วยทำความสะอาดหนังศีรษะและเส้นผม ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่เส้นผม ไม่ทำให้เส้นผมแห้งเสีย ช่วยขจัดสิ่งสกปรกจากมลภาวะ ปกป้องและช่วยคงความสมดุล ลดความมันส่วนเกินบนเส้นผม 

สำหรับวิธีการใช้ ก่อนชโลมแชมพูให้ใช้หวีซี่ห่างหวีเพื่อให้ผมคลาย จากนั้นให้ใช้แชมพูชโลมลงบนผมและหนังศีรษะเพื่อให้น้ำมันอัลมอนด์เข้าถึงรากผม และหวีผมอีกครั้ง ทิ้งไว้สักพักถึงจะล้างออกให้สะอาด

แนะนำ สมู้ธ มอยส์เจอร์ แชมพูและคอนดิชันเนอร์ ที่มีส่วนผสมของน้ำมันอัลมอนด์ เหมาะสำหรับผมแห้ง ผมชี้ฟู และผมที่จัดทรงยาก ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผมนุ่มลื่นและมีน้ำหนัก โดยทำให้ผมเรียบลื่นขึ้นได้ถึง 13 เท่า* ทั้งยังอุดมไปด้วยโปรตีนที่ช่วยบำรุงเส้นผมตั้งแต่โคนจนถึงปลาย 

*จากผลการทดสอบในห้องปฏิบัติ เมื่อใช้ร่วมกับซาทินิค สมู้ธ มอยส์เจอร์ แชมพูและคอนดิชันเนอร์ รายงานผลโดย TRI Princeton ในปี 2024

หมักผมด้วยน้ำมันอัลมอนด์

สำหรับการหมักผมด้วยน้ำมันอัลมอนด์ควรจะทำตอนผมแห้ง แนะนำให้เริ่มจากการหวีผมด้วยหวี่ซี่ห่างเพื่อลดการพันกันของเส้นผม หยดน้ำมันลงบนฝ่ามือในปริมาณที่ต้องการ แต่ไม่ควรใช้มากเกินไป เนื่องจากจะทำให้ผมมัน จากนั้นถูน้ำมันให้ทั่วเส้นผม ศีรษะ และจัดทรงตามที่ต้องการ

ทั้งนี้ น้ำมันอัลมอนด์เป็นน้ำมันที่เบาและดูดซึมได้ดี สามารถทิ้งไว้บนเส้นผมได้ อย่างไรก็ตาม ควรใช้ในปริมาณที่พอเหมาะ แนะนำให้เริ่มจากปริมาณน้อยๆ ก่อน ถ้าต้องการใช้ตอนกลางคืน สามารถหมักทิ้งไว้ข้ามคืนแล้วค่อยสระผมในตอนเช้าได้ หากรู้สึกว่าผมมันเกินไป สามารถล้างออกได้ด้วยแชมพูอ่อนๆ

สรุป

น้ำมันอัลมอนด์เป็นน้ำมันที่ได้จากการบีบอัดเมล็ดอัลมอนด์ดิบในอุณหภูมิต่ำ ซึ่งนอกจากอัลมอนด์จะมีประโยชน์ต่อร่างกายแล้ว น้ำมันอัลมอนด์ยังมีสรรพคุณช่วยบำรุงผม เนื่องจากอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อเส้นผมและหนังศีรษะ อย่างวิตามินบี โอเมกา 3 แมกนีเซียม และวิตามินอี เมื่อใช้แชมพูที่มีส่วนผสมของน้ำมันอัลมอนด์ชโลมไปที่เส้นผมจะช่วยบำรุงหนังศีรษะ เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับเส้นผม ปรับสภาพผมเสีย ผมชี้ฟูให้กลับมานุ่มสลวย ซ่อมแซมผมเสีย ผมแตกปลาย และกระตุ้นการสร้างเส้นผมใหม่

Reference

  1. USDA. Nuts, almonds. fdc.nal.usda.gov. Published 4 January 2019. Retrieved 24 January 2025.